https://chat.foxbot.app/webchat/?p=1116283&id=RA4oWc5dayKYU8B9
Video Marketing Form V2

โปรดกรอกฟอร์ม ทางเราจะติดต่อกลับภายใน 24 ชม.

หลังจาก กดส่งฟอร์มแล้ว รบกวนเช็คที่อีเมล Inbox หรือ Junk Mail ทางระบบเราจะมีส่งข้อมูลเพิ่มเติม และตอบกลับให้ทางเมล ภายใน 5 นาที

ติดต่อเรา

14 วิธี เพิ่มยอดรับอีเมล ด้วยการตลาดแบบ Opt-in

หากสร้างสรรค์คอนเทนต์ที่สามารถดึงผู้คนให้เข้ามาเยี่ยมชมเว็บไซต์และบล็อกของคุณได้แล้ว นอกเหนือจากการสอบถามข้อมูลโดยตรงกับพวกเขาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของคุณผ่าน Landing Page ก็ควรจะมีช่องทางที่สามารถติดต่อผ่านอีเมลด้วย เพื่อให้ไม่พลาดการติดต่อกับผู้ที่มีแนวโน้มจะเป็นลูกค้าของคุณนั่นเอง

นี่คือ 14 วิธีทำการตลาดแบบ Opt-in ที่จะช่วยเพิ่มยอดรับข่าวสารทางอีเมลจากแบรนด์ของคุณ โดยที่ผู้บริโภคยินดีรับอีเมลจากคุณด้วยความสมัครใจ  โดยแบ่งได้ดังนี้

Opt-in สำหรับอีเมล
 
1. Squeeze Page
 
 
squeeze page 4

Squeeze Page คือญาติสายตรงของ Landing Page เพียงแตกต่างกันตรงที่รวบรัดกว่าสมชื่อ โดยมีเป้าหมายเดียว คือ ดึงดูดให้ผู้เข้าชมสมัครรับอีเมลจากเว็บของคุณ ซึ่งวิธีการเพิ่มยอด Subscribe อีเมลได้ดีที่สุด คือ การสมัครอีเมลเพื่อแลกกับบางสิ่งบางอย่างที่จะได้รับทันทีเมื่อผู้เข้าชมกดรับสมัครอีเมล เช่น  Squeeze Page ที่แจก e-book หรือ คู่มือต่าง ๆ

Squeeze Page ควรจะใส่แค่เนื้อหาตรงประเด็นเท่านั้น เพื่อดึงดูดให้ผู้เยี่ยมชมกดรับสมัครอีเมลจากคุณ จึงไม่ควรใส่เนื้อหาที่ไม่เกี่ยวข้อง หรืออะไรก็ตาม ที่รบกวนสายตา เช่น ช่องเมนู และหัวข้อต่าง ๆ เป็นต้น

2. Toolbar

toolbar

แถบเครื่องมือด้านบนเว็บไซต์ที่เราคุ้นเคยกันดีนั้น สามารถเปลี่ยนรูปแบบให้เป็นช่องทางหนึ่งในการทำการตลาดแบบ Opt-in โดยให้มีการกรอกแบบฟอร์มได้เหมือนกัน แทนที่จะเด้งขึ้นมาแบบ Pop-up

3. Header

header-opt-in

หากคุณต้องการแนวทางเรียกยอด Subscribe ที่ชัดเจนและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น  การพาดหัวสุดป้งในรูปแบบ Opt-in อาจจะช่วยคุณได้ เนื่องจากพาดหัวถูกออกแบบให้กินพื้นที่ในการมองเห็นมาก จึงดึงดูดความสนใจได้เป็นอย่างดี

4. Footer

footer-opt-in

เมื่อผู้เยี่ยมชมเว็บไซต์เลื่อนมาจนถึงด้านล่างสุดของหน้าเพจจะพบกับส่วนที่เรียกว่า Footer ซึ่งสามารถวางตำแหน่งของ  Opt-In ไว้ด้วยเช่นกัน เพื่อดักผู้ที่เลื่อนอ่านเว็บมาจนถึงบรรทัดสุดท้าย

5. Slide In

slide-in

Opt-in รูปแบบหนึ่งคล้าย Pop-up ที่ไม่ว่าเราจะเลื่อนหน้าเว็บไปตรงไหน ก็จะเลื่อนตามไปด้วย โดยมักจะอยู่มุมขวาล่างหรือซ้ายล่างของเว็บไซต์  ซึ่งถ้าคุณตั้งค่าให้ Slide in โผล่ขึ้นมาได้ถูกที่ ถูกเวลา ยอดกด Subscribe ทางอีเมลก็จะไม่หลุดมือไปไหนแน่นอน

6. Pop-Up

popup
 

Opt-in รูปแบบหนึ่งที่เราทุกคนคุ้นเคยที่สุด ซึ่ง Data Scientist ของ HubSpot ระบุว่า Pop-up เป็นวิธีเรียกยอดการสมัครรับอีเมลที่ไม่มีผลกระทบใด ๆ ต่อการตัดสินใจของลูกค้าเลย

7. Exit Intent

exit-intent

สำหรับผู้ทำเว็บที่ไม่อยากรบกวนผู้ที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ จะเลือกใส่ส่วนนี้ไว้ปิดท้าย เป็น Pop-up ที่จะโผล่ขึ้นมาตอนที่คุณจะออกจากหน้าเพจเท่านั้น

8. Content Recommendations

content-recommendations

Content Recommendations คือ การแนะนำคอนเทนต์ทางเลือก เพื่อให้ผู้เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ เลือกชมคอนเทนต์ ในหน้าเพจอื่น ๆ ของเว็บเดียวกัน โดยเปิดโอกาสให้ผู้เข้าเยี่ยมชมได้สำรวจตัวเลือกต่าง ๆ ก่อนตัดสินใจ Subscribe

Opt-in สำหรับ e-Commerce

 

9. Discount Pop-up

discount-pop-up

ร้านค้าออนไลน์สามารถใช้ส่วนลดเพื่อเพิ่มยอด Lead ในการรับข่าวสารอีเมลจากคุณได้เช่นกัน ซึ่งเครื่องมือสร้าง Pop-up จะกำหนดให้กล่องข้อความเด้งขึ้นมาในเวลาอันเหมาะสม หรือเด้งขึ้นมาก่อนปิดหน้าเว็บ ด้วยการเสนอส่วนลดทันที ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่าต้องคว้าโอกาสนี้ไว้ให้ได้

10.Order Checkbox

order-checkbox

วิธีการนี้เป็นวิธีพื้นฐานที่สุดที่ร้านค้าออนไลน์ทั่วไปใช้กัน โดยในหน้ายืนยันการสั่งสินค้าจะมีช่องให้คุณติ๊กใน Checkbox ว่าจะรับสมัครข่าวสารจากเว็บไซต์นี้หรือไม่

Opt-ins สำหรับการทำ Blog

 

11. Sidebar

sidebar

การใช้พื้นที่ด้านฝั่งซ้ายสุดหรือขวาสุดในบล็อกของคุณเป็นพื้นที่ที่เหมาะที่สุดในการใส่ช่องกรอกข้อมูลเพื่อรับอีเมล ซึ่งตามธรรมชาติแล้วคนที่เข้ามาเยี่ยมชมบล็อกมักจะมองหาช่องรับสมัครข่าวสารโดยอัตโนมัติ ถึงแม้คุณจะใช้ Opt-in ในรูปแบบอื่น แต่การใส่ Sidebar ไว้ด้วยก็ไม่เสียหาย

12. Content Upgrade

content-upgrade

ถ้าอยากขยายความเนื้อหาสำคัญในบล็อกอยู่แล้ว ควรจะเพิ่มตัวเลือกให้ผู้ชมสมัครรับข่าวสารเพื่อแลกกับการอัพเกรดเนื้อหาฟรี ๆ  เช่น ถ้าคุณเขียนเนื้อหาเกี่ยวกับ Keyword Research คุณอาจจะแจกเทมเพลต Spreadsheet ที่จะช่วยรวบรวม Research ให้เป็นระบบ  แจก e-Book หรือคอร์สพิเศษ เป็นต้น

13. Post Footer

post footer 4

หลังจากผู้เข้าเยี่ยมชมบล็อกอ่านคอนเทนต์ดี ๆ ของคุณจบ ก็มีแนวโน้มที่พวกเขาจะสมัครรับอีเมล เพราะไม่อยากพลาดคอนเทนต์ดี ๆ ในอนาคต  Post Footer จึงเป็นช่องทางที่ดีที่สุดสำหรับการนี้  โดยคุณสามารถล่อใจด้วยข้อเสนอที่เรียบง่าย เช่น ผู้สมัครจะได้รับข่าวสารที่คล้ายคลึงเนื้อหาที่เพิ่งได้อ่านไป ส่งตรงไปยังอีเมลของพวกเขา เป็นต้น

14. Comment Checkbox

 

comment-checkbox

 

ช่อง Comment Checkbox ซึ่งอยู่ส่วนล่างของบล็อก สามารถเพิ่มยอดรับอีเมลให้คุณได้เช่นกัน เพราะหากผู้อ่านตัดสินใจเขียนคอมเมนต์ไว้ในช่อง Comment Checkbox ของคุณ พวกเขาก็จะมีโอกาสได้สมัครรับข่าวสารจากบล็อกของคุณไปในตัวด้วย

ที่มา: contentmarketinginstitute

iPlan Digital
iPlan Digital
Articles: 70
4 เทคนิคเพิ่มยอดขายด้วย TikTok Ads (TikTok Shop Part 11) 4 แนวทางขายของบน TikTok Shop ให้โดนใจสายแม่บ้าน สรุป 5 สถิติ TikTok Shop ประจำปี 2566 เช็กลิสต์ 5 สินค้าขายดีบน TikTok ปี 2023 5 เรื่องต้องรู้! ก่อนขายของบน TikTok